Garry Winogrand
Posted by Akkara
- Dec 25, 2012 10:29
(แกรี่ วิโนแกรนด์) Garry Winogrand เกิดที่นิวยอร์คซิตี้เมื่อปี 1928 เขาเริ่มสนใจการถ่ายภาพในช่วงปลายทศวรรษที่ 40 เขาไปรับใช้ชาติในกองทัพอากาศสหรัฐฯ หลังจากนั้นจึงไปศึกษาต่อที่ City College in New York City ในสาขาจิตรกรรม หนึ่งปีถัดมาเขาก็ได้ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย Columbia ที่นี่เขาลงเรียนทั้งจิตรกรรม และสาขาการถ่ายภาพ
ที่มหาวิทยาลัย Columbia เขาได้พบกับ George Zimbel นักศึกษาและช่างภาพประจำหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย George แนะนำให้วิโนแกรนด์รู้จักห้องมืดของทางมหาวิทยาลัยที่เปิดตลอด 24 ชม. และนี่เป็นครั้งแรกที่วิโนแกรนด์ได้รู้ถึงวิธีการ เบื้องหลัง และศาสตร์ของการถ่ายภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจมาก และในสองอาทิตย์ถัดมาวิโนแกรนด์ ยกเลิกวิชาเรียนจิตรกรรมของเขาทั้งหมดเพื่อหันมาศึกษาการถ่ายภาพอย่างเต็มตัว เขาเริ่มทดลองใช้กล้องหลายๆประเภทตั้งแต่ Graphlex, Rolleicord, Kodak 35 แต่สุดท้ายเขาก็หลงรักกล้อง Leica มากที่สุด
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 วิโนแกรนด์รับงานเป็นช่างภาพอิสระ (Freelance Photographer) ให้กับ Pix Agency ซึ่งเป็นที่ๆ George เพื่อนของเขาทำงานอยู่เช่นเดียวกัน คนของทาง Pix เห็นฝีมือการถ่ายภาพของวิโนแกรนด์ที่น่าจะมีอนาคตไกลจึงแนะนำให้เอา Portfolio ไปให้ Henrietta Brackman ตัวแทนช่างภาพที่จะทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายภาพให้กับนิตยสารต่างๆ วันที่ไปสัมภาษณ์วิโนแกรนด์นำภาพถ่ายของเขาไปจำนวนมาก โดยสามารถวางตั้งสูงจากพื้นห้องจนถึงขอบโต๊ะของ Henrietta เลยทีเดียว และไม่ใช่แค่ตั้งเดียว แต่มีถึง 4 ตั้ง! หลัง จากนั้นงานของวิโนแกรนด์ก็ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับนับตั้งแต่ Collier’s, Argosy, Pageant, Redbook, Men, Gentry, Climax และ Sports
ในช่วงปลายปี 1955 วิโนแกรนด์ได้ออกเดินทางข้ามประเทศระยะสั้นๆ ด้วยความสังหรณ์ว่าจะต้องออกไปถ่ายภาพบางอย่างข้างนอกนั่น เมื่อเพื่อนของเขาพบกว่าวิโนแกรนด์กำลังเดินทางถ่ายภาพจึงเอาหนังสือภาพ "Walker Evan’s book American Photograph" ให้ดู แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักวอร์คเกอร์ อีแวนส์ (Walker Evan) มาก่อน แต่เมื่อแวบแรกที่ได้ดูวิโนแกรนด์ก็รู้ได้เลยว่าภาพถ่ายของอีแวนส์เต็มไปด้วยความเข้าใจต่อสิ่งที่ถ่ายอย่างลึกซึ้ง และหลักแหลม มากกว่าที่จะมีแต่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว ในปีเดียวกันนั้นโรเบิร์ต แฟรงค์ (Robert Frank) เริ่มที่จะเดินทางข้ามประเทศ และผลลัพธ์คือหนังสือที่มากด้วยแรงบันดาลใจ "The Americans" เช่นเดียวกับหนังสือของอีแวนส์ วิโนแกรนด์รู้สึกประทับใจ The Americans อย่างมาก
ช่วงต้นทศวรรษ 60 วิโนแกรนด์เริ่มถ่ายภาพผู้หญิงตามริมท้องถนน เขาก็ทำหัวข้อนี้ไปอีกหลายปี ภาพถ่ายผู้หญิงของวิโนแกรนด์เป็นภาพลักษณะที่ทำให้คนดูตกตะลึงกับภาพที่เห็น แต่ก็มีความเรียบง่าย และเต็มไปด้วยกระตือรือร้น การถ่ายภาพหัวข้อนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะได้ตีพิมพ์ก็เข้ากลางทศวรรษที่ 70 ภาพส่วนมากจึงเป็นผู้หญิงในยุค 60 วิโนแกรนด์หวังไว้กับงานชุดนี้มาก เขาคิดว่างานของเขาจะประสบผลสำเร็จทั้งเรื่องธุรกิจ และถูกอกถูกใจเหล่าชายหนุ่มอย่างแน่นอน แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง เหล่าผู้หญิงไม่ชอบหนังสือของเขา และพวกผู้ชายงุนงงกับภาพในนั้น เรื่องนี้สามารถอธิบายความจริงได้อย่างหนึ่งว่า ความสนใจอย่างแรงกล้าในเรื่องหนึ่งๆของศิลปิน อาจทำให้พลาดและสับสนในเรื่องพื้นฐานทั่วๆไปได้ นักวิจารณ์กล่าวว่าหนังสือภาพ "Women are Beautiful" ขาดความคมชัดทั้งด้านภาพและเนื้อหา มันหลุดออกจากมาตราฐานที่ควรจะเป็น รวมทั้งตัววิโนแกรนด์เองก็มองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดในจำนวนหนังสือของเขาทั้งหมด
เวลาต่อมาวิโนแกรนด์ได้แยกทางกับภรรยาคนที่สอง ในช่วงนั้นเขามักใช้เวลากับลูกๆของเขาโดยการพาไปเที่ยวสวนสัตว์ เขานั่งพิจารณาถึงภาพถ่ายของเขาที่ถ่ายจากที่นั่น (ภาพถ่ายจากสวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ทำให้ได้หนังสือภาพที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคน และสัตว์ออกมาที่ชื่อ The Animals) เขาตระหนักว่าภาพบางภาพไม่จำเป็นต้องถ่ายเหมือนภาพถ่ายที่ระลึกของครอบครัว ไม่ต้องตั้งตรง ขนานกับพื้นเสมอไปก็ได้
เขาทดลองตามแนวทางของ The Americans วิโนแกรนด์ถ่ายผู้คนตามท้องถนนโดยถือกล้องแบบไม่ขนานกับพื้น และเอียง 45 องศา โดยวิธีนี้จะขัดแย้งกับความเชื่อของเราที่จะต้องเห็นกำแพงขนานไปกับพื้น ยิ่งเป็นเลนส์มุมกว้างที่วิโนแกรนด์ชอบใช้ มันก็ยิ่งส่งผลกระทบ และทำลายเส้นสาย รวมถึงคติคิดทางสถาปัตย์ไปโดยสิ้นเชิง วิโนแกรนด์ทดลองวิธีถ่ายภาพนี้ โดยการจัดองค์ประกอบแบบอิสระในแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน และเป็นที่เชื่อกันได้ว่าในระยะเวลา 20 ปีให้หลัง (ยกเว้นงานถ่ายภาพโฆษณา) เขาจะไม่ยอมถ่ายภาพในวิธีที่มั่นใจว่าจะได้ภาพที่เป็นสูตรสำเร็จ แต่จะเลือกวิธีที่แตกต่าง ขบถ สุ่มเสี่ยง เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพถ่ายที่สดใหม่เสมอ
ช่วงอายุที่เปลี่ยนไป ความคิดมุมมองด้านการถ่ายภาพของวิโนแกรนด์ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน เห็นได้จากภาพถ่ายในสองช่วงเวลาที่เป็นในบริบทเดียวกัน แต่แตกต่างกันเรื่องช่วงเวลาการถ่ายภาพ ภาพแรกเขาถ่ายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลคู่ระหว่าง New York Giants และ the Cleveland Browns ในปี 1953 ภาพแรกมีความเรียบง่ายทั้งเนื้อหา (Content) และรูปทรง (Graphic) เป็นภาพที่ตีความตามตัวอักษร ราวกับออกมาจากสารานุกรม ส่วนภาพที่สองคือในอีก 20 ปีถัดมาที่เท็กซัส เขาเริ่มแก่ลง แต่ความทะเยอทะยานนั้นมีมากขึ้น และงานของแกรี่ก็ดูกว้างขวางขึ้นตามกันไป เรื่องราวในภาพมีความหลากหลาย และยากที่จะคาดเดาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง โอกาสที่จะได้ภาพถ่ายที่สมบูรณ์อยู่ในกรอบที่แคบลง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ กลับเต็มไปด้วยความเร้าใจ และเต็มไปด้วยจังหวะของภาพ (Moment)
ปี 1963 นิทรรศการที่สำคัญครั้งแรกของวิโนแกรนด์ "Five Unrelated Photographers" ที่นำเสนอภาพถ่ายของ 5 ช่างภาพชาวอเมริกันได้แก่ Minor White, George Krause, Jerome Liebling, Ken Heyman และตัวเขาเอง ที่นำมาร้อยเรียงเกี่ยวเนื่องกัน จัดแสดงที่ The Museum of Modern Art (MoMA) โดยภาพถ่ายของวิโนแกรนด์ถูกรวมเข้าไว้ด้วยทั้งสิ้น 45 ภาพ ในปี 1966 วิโนแกรนด์ได้รับทุนจาก Guggenhiem Fellowship เพื่อให้เดินทางถ่ายภาพประมาณหนึ่งปี และเป็นการทำงานถ่ายภาพครั้งแรกที่ไม่มีแรงกดดันในทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในปีเดียวกันนี้เองวิโนแกรนด์ได้จัดแสดงนิทรรศการที่ชื่อ "Toward a Social Landscape" ร่วมกับ Lee Friedlander, Duane Michals, Bruce Davidson และ Danny Lyon ที่ the George Eastman House ภาพถ่ายจากการให้ทุนของ Guggenhiem ได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการ the New Documents ในปี 1967 ร่วมกับช่างภาพรุ่นใหม่ไฟแรงอีก 2 คนคือ Diane Arbus และ Lee Friedlander มีผู้ควบคุม และคัดเลือกงานคือ John Szarkowski ผู้อำนวยการศิลปะภาพถ่ายของ MoMA ในสมัยนั้น Szarkowski กล่าวยกย่องวิโนแกรนด์ว่าเป็น "ช่างภาพที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยของเขา"
งานนิทรรศการครั้งนี้ได้รับการยอมรับอย่างมากมาย มันได้เปลี่ยนวิธีการถ่ายภาพของวิโนแกรนด์ จากที่ยึดถือแบบแผนปฏิบัติแบบดั้งเดิม กลับผ่อนคลายและลดทอนความเข้มงวดลง ภาพถ่ายของวิโนแกรนด์ในได้นำเสนอโครงสร้าง และมาตราฐานภาพถ่ายที่ว่า "ภาพถ่ายของเขาไม่ใช่ผลิตผลที่แน่นอนหรือคาดเดาได้จากการผสมผสานระหว่างการมองภาพ การวางกรอบ และจังหวะเหตุการณ์" คำอธิบายนี้บ่งบอกตัวตน และลักษณะการถ่ายภาพของวิโนแกรนด์ได้เป็นอย่างดี และเขายังมีความเห็นว่า "Snapshot Aesthetic" (ความงดงามของการถ่ายภาพแบบ Snap) เป็นแนวคิดที่ผิดพลาด และน่าชัง เขาชี้ให้เห็นว่า "ลักษณะของการถ่ายภาพแบบ Snap เกิดขึ้นจากความจงใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" หากมองให้ลึกลงไปก็จะพบการตัดสินอยู่ในที และเขายังเชื่ออีกว่า "สิ่งที่จะถ่าย" (Subject) สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ความสนใจในผลงานส่วนตัวของวิโนแกรนด์เริ่มมีมากขึ้น เขาถูกร้องขอให้ไปสอนในโรงเรียนศิลปะในนิวยอร์คหลายแห่ง ปี 1971 วิโนแกรนด์รับการสอนแบบ Full-time ที่ Chicago’s Institute of Design ซึ่งเขามีความมุ่งหวังว่าจะอธิบาย และเผยแพร่ผลงานของเขาสู่สาธารณะ และเมื่อชื่อของแกรี่ วิโนแกรนด์มีคนรู้จักมากขึ้น เขาถูกขอให้อธิบายลักษณะภาพถ่ายของเขาออกมาเป็นคำพูด ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าภาพหนึ่งภาพมันแทนคำพูดนับร้อยนับพันคำ คงไม่มีใครอธิบายมันออกมาได้ทั้งหมด แม้แต่ตัวของวิโนแกรนด์เอง เขารู้เช่นนั้นจึงบอกว่า
"อาจเป็นเรื่องของโชคที่กำลังพิสูจน์ตัวเองอยู่ในภาพถ่ายใบนั้นๆ"
ในปี 1969 วิโนแกรนด์ได้รับทุนสนับสนุนครั้งที่ 2 จาก Guggenheim เพื่อให้ทำเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบของสื่อสารมวลชนที่มีต่องานสังคมในแง่มุมต่างๆ ตั้งแต่ปี 1969 - 1976 แกรี่่ถ่ายภาพไป 700 กว่าม้วนโดยเฉพาะหัวข้อนี้ และพิมพ์ภาพถ่าย ~6,500 ภาพให้กับ Tod Papageorge ช่างภาพสตรีทชื่อดังอีกคนเพื่อเลือกไปจัดนิทรรศการ และตีพิมพ์หนังสือภาพ Public Relations ในปี 1975 วิโนแกรนด์ได้รับทุนจาก National Endowment รวมถึงอีกสามปีถัดมาก็ได้รับทุนจาก Guggenheim อีกเป็นครั้งที่ 3 ให้เขามุ่งหน้าไปยัง Los Angeles เพื่อทำสารคดีเกี่ยวกับ California ขณะที่อยู่ LA เขาล้างฟิล์มไปถึง 8,522 ม้วน! (อะไรมันจะมากมายมหาศาลขนาดนั้น)
หกปีหลังจากได้ทุนจาก Guggenheim ครั้งที่ 3 วิโนแกรนด์ไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูอาการคันที่เริ่มจากมือ และลามไปทีตัวของเขา วันต่อมาเขาต้องเข้าไปโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ถุงน้ำดี ไม่นานสุขภาพของวิโนแกรนด์ทรุดโทรมลง และในเดือนนั้นเองเขาถูกพาไปรักษาต่อที่คลีนิคในประเทศเมกซิโก และเสียชีวิตลงหลังจากเข้ารักษาตัวได้ไม่นาน รวมอายุได้ 56 ปี
หลังจากการเสียชีวิตของวิโนแกรนด์มีการค้นพบฟิล์มที่ยังไม่ถูกล้าง ~2,500 ม้วน, ที่ล้างแล้วแต่ยังไม่รับการตรวจทาน ~6,500 ม้วน และทำเป็น Contact Sheet แล้ว ~3,000 ม้วน มีการรวบรวมภาพถ่ายทั้งสิ้นของแกรี่ วิโนแกรนด์จาก the Center for Creative Photography (CCP) ประกอบด้วยภาพถ่ายที่พิมพ์แล้ว ~20,000 ชิ้น และ Contact Sheet จำนวน ~20,000 ชิ้น ฟิล์มเนกาทีฟจำนวน ~100,000 ม้วน ฟิล์มสไลด์สีอีก ~35,000 ม้วน
เมื่ออ่านแล้วอาจจะร้องว่า โอ้โห! ถ่ายภาพอะไรเยอะขนาดนี้ หรือต้องถ่ายภาพให้เยอะเข้าไว้ถึงจะประสบผลสำเร็จเหมือนแกรี่ วิโนแกรนด์
ต้องขอบอกว่า จำนวนไม่ใช่เนื้อหาสำคัญ ถึงจะถ่ายมากมายขนาดไหน แต่ไม่ได้เรียนรู้ หรือพัฒนามุมมองอะไรใหม่ๆ ก็จะได้ผลลัพท์เท่าเดิมเหมือนตอนที่ถ่ายภาพครั้งแรก จำนวนไม่สลักสำคัญไปมากกว่าเราได้อะไรหลังจากที่ถ่ายภาพวันนี้ และพรุ่งนี้มุมมองของเราจะพัฒนาขึ้นหรือเปล่าต่างหาก
|