Elliot Erwitt ช่างภาพผู้มากด้วยอารมณ์ขัน
Posted by Akkara
- Dec 05, 2012 21:47

จำได้ว่าเมื่อหลายๆปีก่อนผมไปเดินพารากอนแล้วบังเอิญได้ไปเปิดหนังสือภาพถ่าย
ของช่างภาพคนหนึ่งซึ่งภาพถ่ายแต่ละใบของเขาทำให้ผมหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นถึงกับเหลียวมามอง
จากวันนั้นผมก็ยึดการถ่ายภาพของคนผู้นี้เป็นแบบอย่างเสมอมา ช่างภาพที่มีอารมณ์ขันอันร้ายกาจคนนั้นคือ Elliot Erwitt
ชื่อเดิมของ Elliot Erwitt คือ Elio Romano Erwitz เกิดที่ฝรั่งเศสเมื่อ 26 ก.ค. 1928
เป็นบุตรชายคนเดียวของ émigrés ผู้เป็นพ่อที่ต้องหลบหนีจากความวุ่นวายในการปฏิวัติรัสเซียเมื่อปี 1917 มาอยู่ที่ฝรั่งเศส
ดวงการเดินทางของ Elliot Erwitt คงแรงมาก ทำให้ต้องย้ายไปนู่นนี่หลายครั้ง หลังจากเขาเกิดไม่นานครอบครัวก็ย้ายไปอยู่มิลาน
ต่อมาในปี 1930 ลัทธิฟาสซิสเถลิงอำนาจขึ้นในอิตาลี ทำให้ต้องหลบหนีภัยกลับไปยังฝรั่งเศสบ้านเกิด ไม่นานภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ก่อตัวขึ้น
ฝรั่งเศสการประกาศสงครามต่อจักรวรรดินาซี ทำให้ต้องอพยพหลบหนีไปอเมริกาอีกทอด
ตลอดช่วงชีวิตของ Erwitt ก็ต้องตระเวณถ่ายภาพทั่วโลกจนเรียกได้ว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
Elliot Erwitt นี่แหละชีพจรลงเท้าตัวจริง
เมื่อมาถึงอเมริกาเขาได้เปลี่ยนชื่อจาก Elio Romano Erwitz เป็น Elliot Erwitt ตอนนั้นเขาอายุ 11 ปี
การที่ต้องอพยพไปในหลายๆประเทศทำให้เขาสามารถพูดได้หลายภาษา ทั้งอิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ
สองปีต่อมาหลังจากที่พ่อของเขาแยกทางเดินกับภรรยา และพา Erwitt ออกเดินทางอีกครั้ง
คราวนี้เขาและพ่อมุ่งหน้าไปตั้งหลักปักฐานยังฮอลลีวู้ด
ที่นี่เขาหาเงินพิเศษหลังเลิกเรียนจากการทำงานในห้องมืด และพิมพ์ภาพให้กับดาราหนังต่างๆ นั่นทำให้เขาเริ่มที่จะสนใจการถ่ายภาพ
และเขาได้ซื้อกล้องถูกๆยี่ห้อ Argus เพื่อหัดถ่ายภาพ จนกระทั่งอายุได้ 21 ปี เขาตัดสินใจที่จะเป็นช่างภาพอาชีพให้ได้
Erwitt มุ่งหน้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของช่างภาพสตรีทนั่นก็คือ New York และด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าบวกกับโชค
ทำให้เขาได้ทำงานกับเอเจนซีภาพถ่ายแห่งหนึ่ง โชคดีของเขายังไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น เขายังได้พบกับ Robert Capa ช่างภาพสงครามที่กำลังโด่งดัง
และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง magnumphotos อาจเพราะ Capa และ Erwitt เป็นเด็กอพยพชาวยุโรปเหมือนกัน
Capa จึงรู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้ เลยให้งานเล็กๆน้อยๆกับ Erwitt รวมถึงบาง Assignment ด้วย
ไม่นานสงครามเกาหลีก็ระเบิดขึ้น Erwitt ถูกเรียกตัวไปประจำการ การเกณฑ์ไปครั้งนี้ไม่แน่ว่าเขาจะได้กลับมาหรือไม่
Erwitt ยอมรับโชคชะตาที่เขาไม่ได้ก่อ แต่พระเจ้าคงรู้อะไรบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ จึงประทานโชคสองข้อมาชดเชยกัน
Capa สัญญาไว้ว่าเมื่อ Erwitt กลับมาจะมีตำแหน่งใน Magnumphotos ให้ นับเป็นโชคข้อแรก
ข้อที่สอง เขาไม่ถูกส่งไปรบแนวหน้าในสงคราม แต่กลับไปรับงานผู้ช่วยถ่ายภาพชีวิตความเป็นอยู่ของทหารในฝรั่งเศสแทน
มิหนำซ้ำงานของเขายังได้เข้าประกวดช่างภาพรุ่นใหม่ของ Life Magazine และคว้าอันดับสองไปครอง
หลังจากกลับมาจากสงคราม Erwitt ทำงานเต็มตัวกับ Magnumphotos รับ Assignment หลากหลายทั้งถ่ายภาพคนดัง
งานแฟชัน ประธานาธิบดีริชาร์ด นิคสัน เชกูวารา พระสันตปาปา เขาเดินทางถ่ายภาพด้วยกล้องสองตัว ตัวหนึ่งสำหรับงาน Assignment
อีกตัวคือ Leica เพื่อถ่ายภาพ Snap ในปี 1970 เขาเปลี่ยนแนวทางจากการถ่ายภาพนิ่งเป็นการถ่ายภาพยนตร์สารคดีให้กับ HBO
และยี่สิบปีต่อมาเขาก็กลับมาหาแนวทางดั้งเดิมคือการถ่ายภาพนิ่ง Erwitt มีผลงานน่าสนใจมากมาย เช่น การถ่ายภาพสุนัข และภาพสตรีท (หรือที่เขาเรียกว่า Snap)
ที่อบอวลไปด้วยอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะ รวมถึงผลงานกระแทกแดกดันที่สื่อให้เห็นถึงการเหยียดสีผิวในอเมริกา
Erwitt เป็นช่างภาพที่คนถ่อมตัวอย่างมาก มักจะบอกว่าตนเองเป็นมือสมัครเล่นอยู่เสมอๆ และเป็นคนง่ายๆ ไม่แบกอุปกรณ์มากมายออกไปถ่ายภาพ
เวลาที่เขาทำงานเขาจะหลบเลี่ยงความวุ่นวาย และออกไปถ่ายภาพคนเดียวบ่อยๆ ภาพถ่ายของเขาจะเป็นแนว Snap (หรือที่คนอื่นสังเกตุว่าเป็น Street Photography)
แม้ตอนได้รับ Assignment ภาพก็จะออกมาแบบไม่เป็นทางการ มีสเน่ห์ และคมคายยิ่ง
มีเรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งที่ Erwitt ถูกขนานนามว่า "anti-Cartier-Bresson" (ผู้ต่อต้าน HCB)
หรือ "the master of the indecisive moment" (ปรมาจารย์ในการไม่การตัดสินใจในเสี้ยววินาที)
ทั้งที่ภาพส่วนใหญ่ของเขาเต็มไปด้วย The Decisive Moment อาจเพราะเขาเชื่อว่า
"การถ่ายภาพนั้นง่าย แต่การที่จะได้ภาพที่คุ้มค่า ต้องอาศัยสายตาที่เฉียบคม"
ผู้เขียนเองคิดว่าทั้งสองคนนั้นพูดถูกทั้งคู่นั่นแหละครับ แต่เป็นการพูดกันคนละมุมเท่านั้นเอง
หลายคนมักจะตีความภาพถ่ายของเขาไปในทางการเมืองหรือวิภากษ์สังคม อันที่จริงเขาแค่ถ่ายทอดออกมาตามความรู้สึกที่ออกมาจาก
"การตระหนักรู้ และรับผิดชอบต่อสังคม" และ "ความเห็นอกเห็นใจ" เช่น เรื่องการเหยียดสีผิว ในปี 1950 หรือเมื่อครั้งเหตุการณ์ 9/11
แทนที่เขาจะออกไปเก็บภาพวินาทีที่ตึกเวิร์ดเทรดถล่ม หรือความโกลาหล เหมือนกับช่างภาพอื่นๆที่หิวกระหายภาพเหล่านี้
Erwitt เลือกที่จะทิ้งกล้องไว้ที่อาร์พาร์ทเมนต์ และออกไปบริจาคเลือดแทน
Erwitt เป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการใช้ Digital Post-Processing หรือรีทัชภาพ โดยเขากล่าวว่า
เขาต่อต้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง เพราะมันทำให้เกิดความผิดเพี้ยนจากเจตนาดั้งเดิมของการถ่ายภาพ และเขายังคงถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มขาวดำเช่นเดิม

Elliot Erwitt อธิบายภาพถ่ายของเขาแบบกวนๆว่า
"มันมีแค่ในภาพนั่นแหละ ไม่ต้องมองหาอะไรอีก ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดแล้ว"
|